รถมือสอง เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้ได้รถที่ถูกใจ ในราคาสบายกระเป๋า แต่การเลือกรถมือสองให้ได้สภาพดีและตรงใจคุณก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว เพราะรถยนต์ ยิ่งใช้ ก็ยิ่งเสื่อมสภาพไปตามอายุและการใช้งาน ซึ่งหากคุณไม่มีความรู้หรือไม่สังเกตให้ดีก็อาจจะไม่เห็นจุดขัดข้องหรือเครื่องยนต์เลยก็ได้ วันนี้ EasyCompare มีวิธีเช็คสภาพรถมือสองง่ายๆ 3 ขั้นตอนมาฝากกันครับ
- 1. ทดสอบเกียร์
เกียร์รถยนต์คือสิ่งแรกที่คุณควรตรวจสอบ เพราะนอกจากจะเป็นส่วนที่ต้องใช้งานบ่อยเเล้ว ก็ยังเป็นส่วนสำคัญในระบบขับเคลื่อนรถยนต์ ซึ่งวิธีตรวจสอบก็ไม่ยาก เริ่มต้นจากการทดลองขับ เหยียบเบรกเเละเข้าเกียร์เดินหน้า สำหรับรถยนต์ที่เป็นระบบเกียร์ออโต้ หากแต่ละครั้งที่เปลี่ยนเกียร์ สามารถเลื่อนเปลี่ยนเกียร์ได้ง่าย ออกตัวเเล้วรถไม่มีอาการกระชากหรือมีเสียงดังผิดปกติระหว่างเร่งเครื่อง ก็แสดงว่าเกียร์รถของคุณยังสามารถใช้งานได้ปกติ หากเป็นเกียร์กระปุกควรลองเปลี่ยนเกียร์เร่งเครื่องว่ามีอาการฝืดหรือคลัทช์หนักกว่าปกติหรือไม่ และควรลองขับให้ครบทุกเกียร์ ทั้งเกียร์ถอยหลังหรือแม้กระทั่งเกียร์ N หรือ เกียร์ P เวลาจอดรถว่าสามารถเข็นรถได้หรือไม่มีการแปลกๆหรือไม่
- 2. ทดสอบเครื่องยนต์
สามารถทำได้จากการลองขับรถยนต์สักประมาณ 10-15 นาที โดยใช้ความเร็วหลายๆระดับ สลับกับการทดลองเบรกเเล้วคอยสังเกตว่าในขณะที่เหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วจนกระทั่งเบรกมีเสียงผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งในระหว่างนั้น ก็ควรสังเกตการทำงานของพวงมาลัยควบคู่กันไปด้วย ว่าในขณะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา พวงมาลัยสามารถคืนตัวได้อย่างรวดเร็วตามทิศทางที่บังคับหรือไม่ หากรถยนต์ที่คุณกำลังจะซื้อ เครื่องยนต์มีอาการผิดปกติ ควรรีบแจ้งให้กับเจ้าของรถเดิมทราบ เพื่อจะให้นำไปเข้าศูนย์ ซ่อมแซมให้เรียบร้อยก่อนการซื้อขายนั่นเอง
- 3. เช็คช่วงล่างรถ
วิธีตรวจสอบช่วงล่างรถด้วยตนเองสามารถทำได้โดยการทดลองขับรถบนพื้นที่มีพื้นผิวไม่เรียบ เช่น พื้นที่เทหินกรวดหรือลูกระนาด หากได้ยินเสียงขลุกขลักดังมาจากใต้ท้องรถตามมาหรือรถมีอาการโยกขึ้นลงหลายๆรอบ เเสดงว่ารถยนต์คันนี้เริ่มมีอาการช่วงล่างหลวม ต้องรีบนำเข้าศูนย์บริการดูเเลรถยนต์ ให้ช่วยเปลี่ยนช่วงล่างโดยด่วน
หากลองทดสอบทั้ง 3 วิธีเเล้วรถคันนี้สอบผ่านในทุกๆ เรื่อง ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ถ้าหากว่าเป็นรถยนต์ที่คุณชอบทดลองขับแล้วรู้สึกตรงใจ แถมสีรถเหมาะกับบุคลิกและสไตล์ของคุณอยู่แล้ว ก็ตัดสินใจซื้อได้เลยและอย่าลืมเพิ่มความคุ้มครองด้วยประกันภัยรถยนต์นะครับ จะประกันชั้น 1 ชั้น 2+ ชั้น 3+ หรือ ชั้น 3 ก็ช่วยคุ้มครองให้คุณอุ่นใจ